Sound of Don Quixote
ดนตรีที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากหนังสือดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน ได้ถูกนำมาเรียบเรียงและแสดงครั้งแรกในรูปแบบอุปรากรเป็นบทเพลงร้อง
จากลักษณะของดอนกิโฆเต้ที่ผู้แต่งระบุในหนังสือนั้น เป็นชายอายุ 54 ปี ผอมแห้งแก้มตอบ การแสดงในอุปรากรนั้นจึงได้มีการคัดเลือกนักร้องที่มีลักษณะใกล้เคียงกับที่หนังสือระบุ จึงได้นักร้องชายรับบทบาทเป็นดอนกิโฆเต้ที่มีช่วงเสียงของการร้องอยู่ที่ Bass ถึง Baritone
Vocal Ranges Don Quixote
แรงบันดาลใจในการเรียบเรียงบทเพลงและเลียนแบบเสียงของนักร้อง
ช่วงเสียงของดอนกิโฆเต้ในบทเพลงร้องนั้นมีความใกล้เคียงกับช่วงเสียงของเครื่องดนตรีทรอมโบน บทเพลงร้องจึงเป็นแรงบันดาลใจในการเรียบเรียงให้กับเครื่องดนตรีทรอมโบน
แต่ด้วยข้อกำจัดของเครื่องดนตรีนั้นไม่สามารถที่จะออกเสียงเป็นสระหรือพยัญชนะเป็นคำที่มีความหมายได้ จะได้แต่โทนเสียงของเครื่องดนตรีและโน้ตสูงต่ำดังเบาสลับกันไปมา เวลาที่เล่นบทเพลงร้องในเครื่องดนตรีนั้นจึงต้องคิดถึงการออกเสียงของนักร้องด้วย และความหมายของบทเพลงนั้น
Man of La Mancha - I, Don Quixote
I, Don Quixote บทเพลงเปิดตัวของดอนกิโฆเต้ จากละครเพลงเรื่อง Man of La Mancha ผู้ประพันธ์ดนตรี Mitch Leigh และผู้ประพันธ์คำร้อง Joe Darion ละครเพลงเรื่องนี้จัดแสดงครั้งแรกในปี ค.ศ. 1965
Mitch Leigh
Joe Darion
ในต้นฉบับนั้นเป็นบทเพลงร้อง มีวงออเคสตราขนาดใหญ่เป็นดนตรีประกอบ ในการแสดงครั้งนี้ได้เรียบเรียงบทเพลงนี้ให้เป็น Trombone Octet
จากสีสันของวงออร์เคสตราและเสียงร้อง เรียบเรียงใหม่เป็นสีสันของเครื่องดนตรีทรอมโบน ในต้นฉบับนั้นบทเพลงนี้จะมีการใช้กีต้าร์เป็นทั้งคอร์ดและจังหวะอยู่ตลอดทั้งเพลง และเครื่องดนตรีอื่นๆจะประสานเข้ามาในช่วงตอนท้ายของแต่ละประโยคเพลง
ข้อจำกัดของเครื่องดนตรีทรอมโบนคือสามารถเล่นได้เพียงแค่เสียงเดียวไม่สามารถเล่นหลายๆเสียงพร้อมกันได้ จึงได้มีการเรียบเรียงขึ้นมา 8 แนวทำนอง แบ่งเป็น
- แนวนักร้อง Trombone 1 และ 2
- แนวเสียงประสาน Trombone 3 และ 4
- แนวของเสียงกีต้าร์ที่เล่นคอร์ด Trombone 5 , 6 และ 7
- แนวเบส Trombone 8
ในการเล่นคอร์ดติดต่อกันทั้งเพลงของ Trombone 5 , 6 และ 7 นั้น ด้วยเสียงของเครื่องดนตรีทรอมโบนที่ค่อนข้างมีความดังและโทนเสียงที่หนา จึงเขียนโน้ตให้เล่นสั่นและกระชับตลอดทั้งเพลง จะมีบางช่วงที่ใช้ช่วงเสียงของคอร์ดที่เปิดมีทั้งสูงกลางและต่ำเพื่อโทนที่กว้างและได้ยินเสียงของแต่ละแนวชัดเจนขึ้น และมีการใช้คอร์ดที่ช่วงเสียงปิดหรืออยู่ในช่วงเสียงที่ใกล้กันมากๆ ต่ำถึงกลางหรือกลางถึงสูง จะได้สีสันที่แตกต่างกันและการใช้เทคนิคนี้ยังช่วยให้แนวทำนองหลักไม่โดนคอร์ดกลืนไปทั้งบทเพลง แต่จะคอยประสานสอดแทรกเป็นช่วงๆ
แนวเสียงร้อง
Trombone 1 เป็นตัวแทนของเสียงดอนกิโฆเต้
Trombone 2 ซานโซ่ ปันซ่าอัศวินสำรองของดอนกิโฆเต้
Trombone 1 แทนลักษณะของดอนกิโฆเต้นั้นเป็นคนที่มั่นใจในตนเอง จะทำอะไรก็ขึงขังแข็งแรงแบบเก้ๆกังๆ มีการใส่น้ำเสียงที่เต็มคำร้องและเน้นทุกคำเวลาที่เนื้อร้องนั้นกล่าวถึงชื่อของคน ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า
Trombone 2 แทนลักษณะน้ำเสียงของซานโซ่ ปันซ่า จากชาวบ้านธรรมดากลายมาเป็นอัศวินสำรองผู้ติดตามดอนกิโฆเต้ไปทุกหนทุกแห่ง ลักษณะเป็นชายตัวสั้นอ้วนพุงพลุ้ย มีช่วงเสียง Tenor และด้วยลักษณะของตัวละครเป็นคนซื่อๆเซ่อๆ เวลาทำอะไรก็จะทำตามดอนกิโฆเต้ แต่ด้วยลักษณะตัวที่สั้นและอ้วนจึงทำให้ขาดความกระฉับกระเฉง เวลาพูดก็จะติดๆขัดๆตามภาษาชาวนาที่ไม่ค่อยรู้หนังสือ
Don Quichotte à Dulcinée
I - Chanson romanesque
II - Chanson épique
III - Chanson à boire
Don Quichotte à Dulcinée ประพันธ์โดยคีตกวีชาวฝรั่งเศส Maurice Ravel และคำร้องประพันธ์โดย Paul Morand เป็นบทเพลงประเภท Song Cycle เป็นดนตรีชุดเพลงร้อง ที่มีดนตรีคลอไปเรื่อยๆ เนื้อหาในแต่ละท่อนจะสอดคล้องต่อเนื่องกันตามเนื้อเรื่อง เพื่อใช้เป็นบทเพลงประกอบภาพยนตร์ เรื่อง Adventures of Don Quixote ระหว่างปี ค.ศ.1932 -1933
Maurice Ravel
Paul Morand
แต่น่าเสียดายที่บทเพลง Don Quichotte à Dulcinée ไม่ได้ถูกนำไปประกอบในภาพยนตร์ เนื่องจากอาการบาดเจ็บที่เส้นประสาท ของ Ravel ทำให้งานล้าช้าและไม่สามารถเขียนบทเพลงต่อได้ ผู้กำกับ จึงไปว่าจ้างนักประพันธ์คนอื่นแทน
ใช้โน้ตเพลงตามต้นฉบับที่ Ravel ประพันธ์ไว้ เป็นนักร้องที่รับบทบาทเป็นดอนกิโฆเต้และเสียงดนตรีประกอบจากเปียโน
จากเสียงของดอนกิโฆเต้ที่มีช่วงเสียงใกล้เคียงกับเครื่องดนตรีทรอมโบน สามารถใช้โน้ตของนักร้องแทนกันได้เลย
เมื่อบทเพลงที่เป็นเพลงร้องนั้นเล่นผ่านเครื่องดนตรีการตีความจึงต้องคงลักษณะของการร้องไว้ แต่ด้วยข้อจำกัดของเครื่องดนตรีจะไม่สามารถออกเสียงคำหรือพยัญชนะได้ชัดเจน นักดนตรีจำเป็นที่จะต้องออกแบบการออกเสียงของเครื่องดนตรีทรอมโบนที่แตกต่างออกไปจากเดิมเพื่อให้คล้ายกับบทเพลงร้องมากที่สุด
I - Chanson romanesque (Quixotic Song)
Were you to tell me that by turning so much the earth offended you, I would send Panza to it: You would see it still and silenced.
Were you to tell me that boredom assailed you from a sky too beflowered with stars, tearing the heavenly bodies, I would destroy night with one blow.
Were you to tell me that space, thus emptied, did not please you, Gods knight, lance in hand, I would bespangle the passing wind with stars.
But were you to tell me that my blood is more mine than yours, my lady, I should pale at the charge, and would die, blessing you. O Dulcinea.
เมื่อคุณบอกฉันว่าต้องจากลาไป โลกก็ดูมืดมน ฉันอยากที่จะส่งอัศวินสำรองของฉันไปที่นั้น ที่นั้นดูเงียบเหงาและเดียวดาย
เมื่อคุณบอกฉันว่าความเบื่อหน่ายทำคุณรู้สึกแย่ แม้ท้องฟ้าจะเต็มไปด้วยหมู่ดาวเป็นเพื่อนคุณ แต่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดจนแทบแย่ ฉันอยากให้คืนนี้ผ่านไปไวๆเหลือเกิน
เมื่อคุณบอกว่าที่แห่งนั้นเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย และคุณไม่ยินดีจะอยู่ตรงนั้น ฉันในฐานะอัศวินฉันจะโอบกอดเธอผ่านสายลมและดวงดาว
ฉันจะยอมสละเลือดเนื้อให้เธอแม้ว่าฉันนั้นจะเหือดแห้งและตายไป ฉันก็จะอวยพรให้เธอโชคดีแม่หญิงดุลสิเนอา
อยู่ในอัตราจังหวะ 6/8 สลับกับ 3/4 คล้ายกับการเต้น Flamenco dance ทำนองมีการกัดกันของ Harmony
ในท่อนนี้นั้นมีความหมายถึงการโหยหาความรักที่มีต่อแม่หญิงดุลสิเนอา นางที่เป็นยอดหญิงในดวงใจของดอนกิโฆเต้ แม้ตนนั้นต้องออกผจญภัยไปในที่ๆห่างไกล พบเจออุปสรรคอันตรายมากมาย แต่ทุกๆก็จะนึกถึงแม่หญิงดุลสิเนอาเพื่อเป็นแรงกายและแรงใจในการทำภารกิจ
"ถึงตัวจะอยู่แสนไกล แต่ใจไม่เคยห่างเธอ"
II - Chanson épique (Epic song)
Good St. Michael, who gives me leave to see my lady and hear her voice; Good St. Michael who deigns to choose me for her pleasure and to defend her,
Good St. Michael, be pleased to descend with St. George upon the altar of the Madonna in the blue cloak.
With a heavenly beam bless my blade and its equal in purity and its equal in piety as also in modesty and chastity, my lady,
O great St. George and great St. Michael, the angel who watches over my vigil, my gentle dame, so like you, Madonna in the blue cloak.
Amen
ขอแสดงความเคารพ ผู้ที่มอบโอกาสให้ฉันนั้นได้เจอกับคนที่ฉันรักและได้ยินเสียงอันไพเราะของเธอ
ขอแสดงความน้อมน้อม ผู้ที่กำหนดโชคชะตาให้ฉันได้เป็นผู้ปกป้องและดูแลเธอ
ขอแสดงความนับถือ พระผู้เป็นเจ้าที่มอบพรวิเศษให้กับฉัน
ขอให้แสงจากเบื้องบนที่สาดส่องลงมาให้อาวุธของฉันนั้นเปล่งประกายไร้เทียมทานและปกป้องรักษาความยุติธรรม ฉันจะถือครองความบริสุทธิ์ของฉันเพื่อแม่หญิงยอดรัก
โอ้บาทหลวงผู้ยิ่งใหญ่ เทพที่คอยมองฉันจากเบื้องบนไม่ต่างอะไรจากผู้หญิงที่อ่อนโยนเช่นเธอ
ขอพระเจ้าอวยพร
อาเมน
เป็นทำนองที่ช้าอยู่ในอัตราจังหวะ 5/4 แบบ Asymmetrical dance-rhythm จังหวะเต้นที่ช้าในท่อนนี้และ Harmony ที่ขนานกันทำให้เกิดบรรยากาศของเพลงสวดในศาสนาคริสต์
เมื่อพบเจอกับอุปสรรคยากที่จะฝ่าฟันหรือโชคชะตานำพาไปพบเจอทั้งเรื่องร้ายและดี ทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเราไม่สามารถที่จะคาดคิดเรื่องราวเหล่านั้นได้ จึงได้อ้อนวอนในสิ่งที่ไม่เป็นไปตามหวัง และอวยพรให้กับสิ่งที่ตนนั้นใฝ่ฝัน
การยึดมั่นในการกำจัดความชั่ว ปราบอธรรม รักษาความบริสุทธิ์ของตนเพื่อรอวันพบเจอแม่หญิง เป็นสิ่งที่ดอนกิโฆเต้ พึงมีอยู่แก่ใจตลอดเวลา
"ศรัทธาและยึดมั่นในความฝัน ทุกการเดินทางพระผู้เป็นเจ้าได้ลิขิตเอาไว้แล้ว"
III - Chanson à boire (Drinking Song)
A pox on the bastard, illustrious lady, who to defame me in your gentle eyes, says that love and old wine bereave my heart and soul!
I drink to happiness! Happiness is the one goal to which I go straight When I am drunk!
A pox on that jealous man, dark lady, who whines, who weeps and swears that he is ever that pallid lover who waters down his drunkenness!
I drink to happiness
ฉันจะสาปแช่งเธอ แม่หญิงที่มองฉันด้วยสายตาที่อ่อนโยน ยื่นไวน์มาที่แทนคำบอกรักมาให้ฉัน มันทำให้หัวใจและจิตวิญญาณของฉันสั่นระทวย
ฉันฉลองมันเพื่อความสุข
ความสุขในการดื่มเป็นสิ่งเดียวที่เติมเต็มจิตวิญญาณของฉัน
แม้ว่าไอพวกนั้น รู้สึกยังไงก็ช่างหัวมัน ฉันจะดื่ม ดื่มเข้าไปเพื่อความสุขของฉัน
ส่งท้ายบทเพลงด้วยอัตราจังหวะ 3/4 ลักษณะแนวดนตรี Flamenco
พร้อมกับบรรกาศการดื่ม เหนือสิ่งอื่นใดไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์เครื่องดื่มนั้นจะช่วยทำเราปล่อยวางเรื่องที่เราครุ่นคิดอยู่ได้ มีทั้งเสียงหัวเราะและอารมณ์ความกระโชกโฮกฮากของคนเมาในทำนองเพลง
"จะสุขหรือทุกข์ก็ช่าง นาทีนี้ขอดื่มเพื่อเติมความสุขให้ตัวเองก่อน"
Man of La Mancha - The Impossible Dream
The Impossible Dream หรือคนไทยรู้จักกันในชื่อ ความฝันอันสูงสุด เป็นบทเพลงจากละครเพลงเรื่อง Man of La Mancha ผู้ประพันธ์ดนตรี Mitch Leigh และผู้ประพันธ์คำร้อง Joe Darion ละครเพลงเรื่องนี้จัดแสดงครั้งแรกในปี ค.ศ. 1965 บทเพลงนี้ยังเป็นบทเพลงที่ทำให้ละครเพลง Man of La Mancha นั้นประสบความสำเร็จ ด้วยเนื้อหาข้อคิดและการเล่าเรื่องราวผ่านบทเพลง ทำให้ผู้คนสามารถที่จะเข้าใจและมีความรู้สึกร่วมไปกับการแสดงได้เป็นอย่างดี
ในต้นฉบับเป็นบทเพลงร้องกับวงออเคสตรา และเครื่องดนตรีกีต้าร์เป็นทั้งคอร์ดและจังหวะคลออยู่ตลอดทั้งเพลง ในการแสดงครั้งนี้จึงได้เรียบเรียงเป็น Trombone Quartet ผสมผสานกับเสียง Piano
เป็นบทเพลงที่คุ้นหูและค่อนข้างรู้จักกันดี จึงได้มีการนำมาเรียบเรียงและเพิ่มเติมทำนองใหม่ให้กับบทเพลง เป็นสีสันในบทเพลงบางส่วนที่แตกต่างออกไปจากเดิม
ในช่วงตอนต้นเพลงและตอนท้ายเพลงเป็น Trombone Quartet เล่นประสานกันเป็น Chorale ทรอมโบนเมื่อเล่นประสานกับเป็นคอร์ด จะให้ความรู้สึกเหมือนเสียงเคลื่องดนตรีออแกน เป็นตัวแทนเสียงของความหวังและความศรัทธา
จากเสียงร้องเรียบเรียงผ่านเสียงของเครื่องดนตรีทรอมโบน จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันหรือไม่จากคำร้องที่เคยได้รับฟัง บทเพลงส่งท้ายการแสดงนี้จะพาทุกคน นึกย้อนไปถึงความฝันของตนเอง ที่ตอนนี้มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เรายังคงได้ทำความฝันนั้นอยู่ไหม ?