เรามาทำความรู้จักกับหนังสือเล่มนี้กัน
"El Ingenioso Hidalgo Don Quixote de la Mancha"
"El Ingenioso Hidalgo Don Quixote de la Mancha"
วรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกจากประเทศสเปน โดยนักประพันธ์ มิเกล เด เซร์บันเตส ซาอาเบดรา ถูกตีพิมพ์และแปลเกือบทุกภาษาทั่วโลก ยอดขายกว่า 500 ล้านเล่ม จะผ่านไปนานสักเท่าไหร่หนังสือเล่นนี้ก็ยังถูกยกย่องและเชิดชูว่าเป็นหนังสือที่ดีที่สุดในโลกและคงคุณค่าของเนื้อหาให้กลับมาคิดถึงคุณค่าของตนเอง
เรื่องราวชีวิตของผู้เขียน
Miguel de Cervantes Saavedra ( มิเกล เด เซร์บันเตส ซาอาเบดรา ) ปี ค.ศ.1547 - 1616 อาชีพของเขาเป็นทั้งนักเขียน กวี คนเก็บภาษีและทหาร การเดินทางและชีวิตของนักประพันธ์ที่ไม่ได้เรียบง่ายเต็มไปด้วยอุปสรรคและเรื่องราวปัญหาชีวิตมากมาย ในปี ค.ศ.1570 มิเกล เด เซร์บันเตส อายุได้ 23 ปี ได้มีพวกชาวมัวร์หรือชาวมุสลิมมาทำสงครามยึดชายฝั่ง เขาได้เข้าไปร่วมกับกองกำลังทหารออกทำสงครามหลายประเทศจนถึงเวลาปลดประจำการ ระหว่างเดินทางกลับประเทศสเปนได้ถูกกลุ่มโจรสลัดชาวมัวร์จับตัวไปขายเป็นทาสอยู่ที่แอฟริกา 5 ปี และได้รับการไถ่ตัวในปี ค.ศ.1580 อายุ 33 ปี พอได้รับอิสระภาพก็กลับมาบ้านเกิดและเริ่มต้นอาชีพนักเขียน
หลังจากนั้นเขาถูกประณามว่างานของเขานั้นบ่อนทำลายศาสนา จึงถูกจำคุกอยู่หลายครั้งหลายคราว เขาได้ประพันธ์หนังสือเอาไว้มากมายแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนปี ค.ศ.1605 อายุ 58 ปี ได้ประพันธ์เรื่อง ดอนกิโฆเต้ จนโด่งดังและเป็นที่นิยม หลังจากนั้นก็มีผู้ติดตามรออ่านภาคที่สองของเรื่องดอนกิโฆเต้จำนวนมาก มิเกล เด เซร์บันเตส ได้ทิ้งช่วงการแต่งภาคสองต่อออกไปถึง ปีค.ศ.1615 เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ระหว่างนั้นก็มีผู้อ้างว่าเป็นดอนกิโฆเต้เล่มสองหลอกขายจนร่ำรวย แต่ มิเกล เด เซร์บันเตส ก็ไม่ได้หวั่นใจหลังจากที่เล่นแรกของดอนกิโฆเต้ประสบความสำเร็จได้ทั้งผลตอบรับหลายแง่มุม คำแนะนำ ข้อวิจารณ์ต่างๆนาๆ ทำให้เค้าให้เวลากลั่นกรองบทความของเล่มสองให้ออกมาดีที่สุด
วรรณกรรมทรงคุณค่าแห่งราชอาณาจักรสเปนสู่ราชอาณาจักรไทย
จากวรรณกรรมที่โด่งดังไปทั่วโลกและแปลเกือบทุกภาษาบนโลก ประเทศไทยก็ได้นำมาแปล ในปี ค.ศ. 2006 และภาคสองในปี ค.ศ. 2019 เนื่องจากในปี ค.ศ. 2005 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ หนังสือต้นฉบับ "El Ingenioso Hidalgo Don Quixote De La Mancha" ครบรอบ 400 ปี สมเด็จพระราชาธิบดี ฮวน คาร์ลอส และสมเด็จพระราชินีโซเฟียแห่งราชอาณาจักรสเปน เสด็จเยือนราชอาณาจักรไทยในฐานะพระราชอาคันตุกะ และได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ แปลเป็นภาษาไทยโดย อาจารย์สว่างวัน ไตรเจริญวิวัฒน์ ในชื่อเรื่องว่า “ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า ขุนนางต่ำศักดิ์นักฝัน” จากสำนักพิมพ์ผีเสื้อ
หนังสือเล่มนี้จึงถูกขนานนามว่าเป็นนวนิยายที่กษัตริย์ทรงมอบแด่กษัตริย์
ภาษาและบทความในภาคภาษาไทย
เพื่อรักษาระดับภาษาและถ้อยคำของภาษาสเปนเมื่อ 400 ปีก่อนไว้การแปลหนังสือจากเรื่องราวในอดีตของราชาอาณาจักรสเปน จึงได้มีการอ้างอิงกับช่วงอดีตของไทย ซึ่งตรงกับสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่ยังไม่มีภาษาของไทยที่อ้างอิงได้จริงๆในสมัยนั้น จึงเทียบเคียงหลักการแปลถ้าเรื่องไหนที่เก่าเกินกว่ารัชกาลที่ 4 ให้อิงภาษาของรัชกาลที่ 4 เป็นหลัง ถ้ามีถ้อยคำเกินเลยกว่านั้น จะใช้ภาษาไม่เกินรัชกาลที่ 5 หรือ 6
ผู้อ่านจะได้รู้สึกถึงความเก่าแก่ความโบราณย้อนกลับไปเสมือนเราได้อยู่ในยุคสมัยนั้นจริงๆ ชวนฝันชวนจินตนาการเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านหนังสือผ่านตัวอักษรและถ้อยคำสมัยก่อนของไทย ที่รวบรวมและถักร้อยเชื่อมโยงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับต้นฉบับไม่มีผิดเพี้ยน
ควรรู้ก่อนอ่านหนังสือเล่นนี้
ชวนทุกคนผจญภัยไปยังดินแดนอาณาจักรสเปน สมัยที่ผู้คนศรัทธาในศาสนาและพระเจ้ารวมถึงการแย่งชิงผืนแผ่นดินไว้ครอบครอง อาณาจักรสเปนตั้งอยู่ที่คาบสมุทรไอบีเรียในภูมิภาคยุโรปใต้ เป็นเวลากว่า 35,000 ปีมาแล้วที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ หลังจากนั้นก็มีทั้งผู้บุกรุกและตั้งถิ่นฐานอาณานิคมชนชาติต่างๆ ในช่วง ปีค.ศ.711 ชาวแอฟริกาเหนือซึ่งเป็นชาวมุสลิมหรือเรียกกันว่าชาวมัวร์ ก็เริ่มเข้ามามีอำนาจและยึดเป็นอาณาจักรอิสลามบนคาบสมุทรแห่งนี้เป็นเวลากว่า 750 ปี
ในปี ค.ศ. 1492 อาณาจักรสเปนได้กลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง แต่แน่นอนว่าความขัดแย้งระหว่างชาวสเปนและชาวมุสลิมยังคงมีผลกระทบอยู่เรื่อยมา ทำให้ชาวสเปนไม่ค่อยถูกคอกับชาวมุสลิมนัก มีการกระทบกระทั้งและสงครามกันอยู่บ่อยครั้งรวมถึงการเรียกร้องความยุติธรรมของกลุ่มชนพื้นเมืองที่ได้รับผลกระทบจากสงครามระหว่างสองฝ่าย
ชีวิตของผู้ประพันธ์นาม มิเกล เด เซร์บันเตส ได้พบเจอกับสงครามความไม่เท่าเทียมความไม่ยุติธรรม ทำให้เนื้อหาในเรื่องดอนกิโฆเต้ นั้นมีการเสียดสีทางสังคมที่ออกมาเชิงที่ขบขัน แน่นอนว่าการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับศาสนานั้นเป็นสิ่งที่เปราะบางมาก ใครที่เห็นต่างหรือมีความคิดเห็นไม่ตรงตามหลักก็จะถูกลงโทษ ในเนื้อเรื่องได้พูดเกี่ยวกับศาสนาของชาวคริสต์และชาวมัวร์หรือชาวมุสลิมบางประเทศก็ไม่อนุญาตตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ แต่ด้วยคุณค่าของการเล่าเรื่องที่แฝงไปด้วยแง่มุมและความรู้สึกที่เหนือกฎเกณฑ์ ถึงความรักของคนต่างศาสนาที่อยากจะเปลี่ยนจากมุสลิมมาเป็นคริสต์ ทำให้หนังสือเล่มนี้เป็นตัวอย่างของความรักและความรู้สึกของมนุษย์ที่มีพลังมากกว่าการกฎเกณฑ์ของสังคม
รูปภาพอันทรงพลัง ดั่งได้กระทบไหล่นักแสดงนำ
รูปภาพนิ่งบนกระดาษดั่งรูปภาพเคลื่อนไหวและชวนให้ผู้อ่านได้เข้าไปอยู่ในสถานที่ต่างๆของเนื้อเรื่องจริงๆ เป็นเพียงรูปภาพที่ประกอบอยู่ในแต่ละบทของเรื่อง 1-2 รูปต่อบท แม้ในบทนั้นเรื่องราวจะมีการผจญภัยไปในที่ต่างๆหรือพบผู้คนมากมาย แต่เมื่อได้เห็นรูปของแต่ละบทแล้วนั้น เป็นดั่งบทสรุปให้ผู้อ่านได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
ก่อนที่ดอนกิโฆเต้ฉบับภาษาไทยจะถูกตีพิมพ์ก็ได้มีการตามหารูปภาพต้นฉบับของ กุสตาฟ ดอเร่ ศิลปินชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงในการวาดรูปประกอบภาพพิมพ์หิน ที่ได้วาดให้กับหนังสือเล่มนี้
จนได้พบกับ อดีตบรรณาธิการชาวฝรั่งเศสวัย 81 ปี นาม ‘ปอล แวงซอง’ เขาได้ช่วยตามหาหนังสือต้นฉบับจากห้องสมุดเก่าที่ปารีสจนครบ เป็นหนังสือดอนกิโฆเต้ฉบับภาษาฝรั่งเศส (พิมพ์ครั้งแรก) ที่มีภาพประกอบของกุสตาฟ ดอเร่ หนังจากนั้นสำนักพิมพ์ก็ได้ทำการคัดลอกรูปภาพเพื่อ ประกอบหนังสือดอนกิโฆเต้ในภาคภาษาไทย
คนไทยต้องได้อ่านหนังสือเล่มนี้
"ในชั่วชีวิตหนึ่ง หากแม้นสวรรค์ทรงอนุญาตให้อ่านหนังสือได้เพียงเล่มเดียว
จงเลือกเล่มนี้เถิด ชีวิตจักไม่ตายเปล่าแน่แท้ "
หนังสือเล่มนี้จะพาทุกคนเดินทางไปกับความฝันของชายสูงอายุคนหนึ่ง ชีวิตนั้นน่าเวทนา แต่หัวใจของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความมุ่งมั่น การกระทำของเขาในเรื่อง ทำให้เราได้ฉุดคิดความเป็นตัวตนของตัวเราเอง
แม้ผู้ประพันธ์ได้ล่วงลับไปแล้วแต่คุณค่าก็ยังคงอยู่ มากว่า 400 ปีและตลอดไป ดั่งตัวละคร ดอนกิโฆเต้ ชายสูงอายุที่คลั่งไคล้อ่านนิยายเกี่ยวกับอัศวินจนเสียสติ คิดว่าตนเองนั้นเป็นอัศวินและได้เริ่มออกทำภารกิจของอัศวินเพื่อปกป้องคนดีและกำจัดอันตพาล ทำชื่อเสียงให้ก้องเกียรติไปทั่วทุกสารทิศและมอบคุณงามความดีนี้แด่แม่หญิงที่เป็นยอดดวงใจของอัศวิน ในเรื่องนั้นถึงแม้ว่าดอนกิโฆเต้จะลาจากโลกนี้ไปแล้ว แต่สิ่งที่เนื้อเรื่องเล่าเรื่องราวให้เห็นเป็นข้อคิดสอนใจให้กลับมาทบทวนตนเอง เรื่องราวสะท้อนสังคม วิถีชีวิต ความไม่เท่าเทียม ของผู้ที่มีอำนาจ การตัดสินคนๆหนึ่งว่าเขานั้นเสียสติ แต่คนที่ปกติกลับหัวเราะขบขันเขาและยิ่งแยะเย้ย ชักจูงให้เขานั้นทำสิ่งๆต่างๆเพื่อความสนุกของตนเอง ถึงจะถูกมองว่าบ้าหรือเสียสติ แต่สิ่งที่เขาทำไม่เคยท้อถอย มุ่งมั่นกับอุดมการณ์ยืนหยัดทำในสิ่งที่หัวใจของตนเองปราถนา ถึงเส้นทางจะลำบากสักแค่ไหนก็ไม่เคยหวั่น ขอเพียงได้ทำตามในสิ่งที่ใจต้องการ
เชื่อว่าทุกคนมีความฝันและอยากที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ แม้เรื่องราวในหนังสืออาจจะดูว่าการกระทำของดอนกิโฆเต้ที่มุ่งมั่นจะเป็นอัศวินพเนจรเพื่อปกป้องคนดีกำจัดความชั่วร้ายนั้นเกินกว่าเหตุ แต่ถ้าลองมาปรับใช้ในโลกปัจจุบันมุมมองของตัวเรานั้น เราได้ลงมือทำตามความฝันของเราหรือยัง หรือสิ่งที่อยากทำนั้นเป็นเพียงแค่ฝันแต่ไม่แม้แต่จะลงมือทำอะไรเลย เราโดยโลกของความเป็นจริงชีวิตที่ต้องเรียนต้องทำงานหาเงินทำในสิ่งที่เราไม่ได้อยากจะทำนั้นครอบงำอยู่หรือเปล่า
ทำไมถึงเป็นวรรณกรรมทรงคุณค่า
วรรณกรรมเรื่องนี้ไม่ว่าผู้ประพันธ์จะตั้งใจเอาไว้หรือไม่ได้ตั้งใจก็ดี แต่เนื้อหาและบทความนั้นถือว่าเป็นตัวอย่างสอนใจและทรงคุณค่าหลักการแต่ง เป็นหนังสือที่ครอบคลุมแทบทุกอย่างของการประพันธ์ทุกแขนงตั้งแต่เรื่องสั้น โครงกลอน ทั้งเรื่องเล่า นวนิยาย นิทานพื้นบ้าน เรื่องเล่าซ้อนเรื่องเล่า รวมทุกอย่างไว้ในหนังสือเล่มนี้
จุดสำคัญคือการอ่านหนังสือส่งผลอะไรแก่ผู้คนที่อ่าน ทำให้เป็นคนฉลาด ทำให้เป็นคนโลภ เอาเปรียบผู้อื่น หรือเสียสติไปเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับสติปัญญาของผู้อ่านด้วย หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบไม่ใช่ว่าผู้อ่านจะเข้าใจเหมือนกันทุกคน แต่หนังสือเล่มนี้นั้นเหมือนหนังสือสะท้อนตนเองและความรู้ที่ตนเองมี เป็นต้นแบบของแนวความคิดที่คมคาย ไม่มีถูกไม่มีผิดไม่มีคำตอบตายตัว แต่เป็นหนังสือที่ทำให้เราได้รู้จักคิดได้รู้จักตั้งคำถามและเห็นอกเห็นใจในสิทธิความเท่าเทียมของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันมากขึ้น
หนังสือโบราณเมื่อ 400 ปีที่แล้ว อ่านตอนนี้จะขบขันได้อย่างไร ?
ว่ากันว่าในเรื่องราวของหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวที่ตลกขบขันปนเรื่องราวของความรัก
หนังสือที่ถูกแปลตามต้นฉบับทุกตัวอักษรแถมยังใช้ภาษาของไทยสมัยก่อนอีก ?
เรื่องราวก็อยู่ในยุคสมัยก่อนของประเทศสเปนอัศวินของเมืองไทยเรายังไม่มีด้วยซ้ำ ?
ถ้อยคำพรรณนานาที่เรียงกันยาวสละสลวย ซ้ำไปซ้ำมาเพื่อสิ่งๆหนึ่งได้เป็นหน้าๆ จะน่าเบื่อขนาดไหน ?
จากความคิดเห็นของผู้เขียนอายุ 20 ต้นๆ ค่อนข้างเป็นหนังสือที่มีความยาวมากๆ รวมนิยายปรัมปราของอัศวินเอาไว้ ซึ่งเวลาอ่านก็ต้องจินตนาการสถานการณ์ช่วงนั้นของประเทศสเปนคร่าวๆด้วยเพื่อเพิ่มอรรถรส ชื่อเรียกของตัวละครต่างๆทั้งอ่านและจำค่อนข้างยากเพราะเป็นภาษาสเปน รวมทั้งเนื้อเรื่องที่มีหลายตอน ดำเนินเรื่องแบบเกลิ่นขึ้นมามีจุดเริ่มต้นเกือบจะมีจุดสูงสุดเพื่อคลี่คลายแต่ก็ยังกำกวม รวมทั้งเรื่องราวใหม่ๆซ้อนขึ้นมาระหว่างเนื้อเรื่องด้วย ทำให้กว่าจะจับต้นชนปลายได้นั้นใช้ความอดทนในการอ่านเป็นสัปดาห์เป็นเดือนเลยทีเดียว
ความสนุกอยู่ตรงที่การท้าทายตัวเองให้อ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบถึงแม้ว่าบางตอนจะไม่ค่อยมีความรู้สึกร่วมกับเรื่องราวนั้นเท่าไหร่ แต่ก็ยังแฝงเรื่องราวให้ได้ขบขันบ้าง
เรื่องนี้นั้นจะขาดสองตัวละครหลักไปไม่ได้เลย คือดอนกิโฆเต้และอัศวินสำรองของเขา ซานโซ่ ปันช่า ดอนกิโฆเต้เปรียบเสมือนอยู่ในโลกของความฝัน ซานโซ่เป็นตัวแทนของโลกความเป็นจริงแต่เป็นคนที่ซื่อและเซ่อรวมถึงเป็นคนโลภด้วย และตัวละครอื่นๆนั้นสะท้อนให้เห็นถึงสังคมปกติที่ดำเนินชีวิตทำหน้าที่ของตนเองไปวันๆ
การสนทนาระหว่างการเดินทางของคู่นายบ่าวนั้นขบขันตรงที่คนหนึ่งคิดว่าตนเองนั้นอยู่ในโลกของอัศวินจริงๆ ส่วนอีกตนนั้นก็ซื่อเซ่อนายว่ายังไงบ่าวก็ว่าตาม แม้บางทีจะมีขัดคอไม่ถูกใจกันบ้าง แต่ด้วยความสัมพันธ์ของนายบ่าวแล้วก็ย่อมให้อภัยกันได้ถึงแม้ว่าช่วงหลังๆซานโซ่อัศวินสำรองของเขาจะต่อว่าดอนกิโฆเต้แรงมากๆแต่ก็ยังให้อภัย ต่างจากคนที่พบเจอระหว่างการเดินทางทั่วไปถ้าพูดไม่ถูกใจหรือถามอะไรแล้วไม่ได้คำตอบก็จะใช้ทวนพุ่งเข้าใส่ไม่ยั้ง ผู้นั้นยังไม่ทันตั้งตัวและบางทีก็ได้รับบาดเจ็บไปด้วย บางทีทั้งนายทั้งบ่าวก็โดนทุบตีกลับจนสภาพดูไม่ได้ ทำให้ย้อมคิดดูว่าคนอะไรจะคิดว่าตนเองเป็นอัศวินและปักใจเชื่อได้ขนาดนั้น เห็นกังหันลมเป็นยักษ์ตนใหญ่ เห็นแม่หญิงที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงนั้นสวยราวกับยอดหญิงหาผู้ใดเทียบได้ไม่ แม้หญิงผู้นั้นจะร่างกายล้ำแข็งแรงกว่าชายในหมู่บ้านเสียอีก ดอนกิโฆเต้ก็ยังพรรณนานาความงามจนไม่มีที่ติ เห็นกาละมังเป็นหมวกอัศวินทองคำบ้าง เห็นผู้แกะเป็นเหล่ากองทับและเข้าไปฟาดฟันฝูงแกะก็มี แต่ทุกครั้งดอนกิโฆเต้จะให้เห็นผลของสิ่งที่ซานโซ่มองว่าไม่มีเหตุผลว่า เป็นปีศาจเป็นพ่อมดร้ายที่เสกคาถาเวทย์มนต์บังตาไว้ทำให้ซานโซ่นั้นเห็นเป็นสิ่งอื่นไป นายพูดทุกครั้งทุกคราวจนซานโซ่เริ่มเชื่อหัวปักหัวปำ คนอะไรจะเสียสติแล้วยังพาคนธรรมดาเสียสติอีกได้ถึงเพียงนี้
รวมถึงเรื่องความรักที่เกิดขึ้นในเรื่อง จนผู้อ่านกลับมามองถึงพลังของความรักนั้นทำให้คนผู้นั้นเป็นคนที่ดีขึ้นมีพลังในการทำสิ่งต่างๆได้ไม่มีท้อ รวมถึงความรักที่ทำให้คนขาดสติจนเป็นผลร้ายต่อตนเองและต่อคนรอบข้างได้เช่นกัน ในตัวละครหลักอย่างดอนกิโฆเต้ที่มีความรักต่อแม่หญิงดุลสิเนอา แม้จะไม่เคยได้พบหน้ากันจริงๆจังๆแม้การพูดคุยยังไม่มี ดอนกิโฆเต้ยังมีความปราถนาที่บริสุทธิ์เป็นพลังขับเคลื่อนตัวเขาให้ทำภารกิจต่างๆให้สำเร็จลุล่วงแม้จะเจออุปสรรคมากมาย เพียงแค่การเห็นนางอยู่ไกลๆเพียงไม่กี่วินาทีก็ทำให้ชาวผู้นี้หลงไหลและรักนางสุดหัวใจ พลังของความรักนั้นทำให้คนเราทำอะไรที่เกิดขีดจำกัดของตัวเองได้เหมือนกัน เนื้อเรื่องยังได้เล่าเรื่องราวของบุคคลที่ดอนกิโฆเต้พบเจอละหว่างทาง ได้แลกเปลี่ยนเรื่องราวซึ่งกันและกันส่วนใหญ่นั้นก็เป็นเรื่องราวของความรัก ความหึงหวง มือที่สาม ความใคร่รู้มากเกินไปต่อคนรัก ความรักในทรัพย์สมบัติ ความรักต่อเพื่อน ความรักต่อนาย ความรักต่อครอบครัว ซึ่งความรักในรูปแบบต่างๆรวมถึงเรื่องราวของความรักที่หักมุม ทำให้คาดไม่ถึงของเนื้อเรื่องนั้นเชื่อมโยงกันได้อย่างแนบเนียนตั้งแต่ต้นจนจบทำให้ทุกครั้งที่ยิ่งอ่านยิ่งอยากจะรู้ความเป็นไปของตัวละครนั้นๆ
ถ้ากลับกันสมัยก่อนเรื่องนี้จะต้องเป็นเรื่องที่สนุกมากแน่ๆถ้าคิดถึงในช่วงยุคสมัยนั้นของประเทศสเปน การสู้รบสงครามอัศวิน บรรยากาศของเมือง จัตุรัสกลางเมืองที่เป็นศูนย์รวมของผู้คนในวันหยุดวันสำคัญ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ สิ่งเหล่านี้ได้ถูกถ่ายทอดจาก มิเกล เด เซร์บันเตส ออกมาเป็นหนังสืออัศวินที่อยู่บนโลกของความเป็นจริง ซ้อนแนวคิดของสังคม ความรัก ความเท่าเทียม ศาสนา การเมือง ทุกอย่างที่มนุษย์นั้นเป็นอยู่รวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ ดอนกิโฆเต้ แห่งลามันช่า
เพราะเหตุนี้แม้ความสนุกและการตีความของผู้อ่านแต่ละยุคแต่ละสมัยจะมีอรรถรสที่แตกต่างกันออกไป แต่คุณค่าและข้อคิดที่แฝงอยู่ในเรื่องนั้นยังตราตรึงใจแก่ผู้ที่ได้อ่านทุกท่าน
ถึงเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหนสิ่งที่หนังสือต้องการให้กับผู้อ่านนั้นคุณค่าไม่เคยลดลงเลย
หนังสือเล่มนี้จึงได้เป็นหนังสือที่ขึ้นชื่อว่าเป็นวรรณกรรมละดับโลก